| |
| |  | Line ID: idd1972r | | |
| | | | | | Facebook :Somthawin Iamko | |
| |  |
##include('showcounter.php')##
|
| | |
  | |   |
 แนวคิดทฤษฎีเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ
ความสำคัญของความหลากหลายทางเพศ ความคิดเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ เกี่ยวข้องกับแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ทำความเข้าใจพฤติกรรม อัตลักษณ์ และการปฏิบัติทางเพศของมนุษย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีการถกเถียงกันมายาวนานในประวัติศาสตร์ เท่าที่ผ่านมาความคิดเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ เป็นความคิดที่ต้องการเปิดพื้นที่ให้กับการแสดงตัวตนหรืออัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น การแสดงอัตลักษณ์ของคนรักเพศเดียวกันและคนข้ามเพศ ทั้งนี้ การแสดงอัตลักษณ์ทางเพศในแบบที่ต่างไปจาก ผู้ชาย และ ผู้หญิง เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในหลายวัฒนธรรม นักมานุษยวิทยาได้ศึกษาเรื่องราวของกลุ่มคนที่แสดงอัตลักษณ์แบบคนข้ามเพศ หรือ Transgender ที่ผู้ชาย(ตามเพศสรีระ)จะแสดงบทบาทเป็นผู้หญิง เช่น การศึกษาของวิล รอสโค (1991) เรื่องอัตลักษณ์แบบ Berdache ในกลุ่มชนพื้นเมืองในอเมริกา และ การศึกษาของเซเรน่า นันดา (1998) เรื่องอัตลักษณ์แบบ Hijra ในอินเดีย เป็นต้น การแสดงอัตลักษณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์มีความหลากหลายในการแสดงออกทางเพศ ซึ่งสืบเนื่องมาจากวิธีคิดและความเชื่อทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจ ความหลากหลายทางเพศ จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะ จะช่วยทำให้เข้าใจถึงค่านิยม ความเชื่อ โลกทัศน์ และขนบธรรมเนียมประเพณีที่หล่อหลอมให้มนุษย์แสดงอัตลักษณ์ทางเพศ อย่างไรก็ตาม ความหลากหลายทางเพศ ยังเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงในเชิงแนวคิดทฤษฎีจากสกุลความคิดต่างๆในสังคมตะวันตก ซึ่งแบ่งออกเป็นสองขั้วใหญ่ๆสองขั้ว ระหว่างขั้วที่เชื่อในระบบสองเพศ หรือความเป็นเพศตามธรรมชาติที่มีเพียงเพศชายและเพศหญิงเท่านั้น และจะปฏิเสธหรือตำหนิการแสดงอัตลักษณ์/พฤติกรรมทางเพศที่ไม่ตรงกับเพศตามธรรมชาติ กับขั้วที่เชื่อว่ามนุษย์สามารถแสดงพฤติกรรม อารมณ์ความรู้สึกและอัตลักษณ์ทางเพศได้หลากหลายโดยไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับเพศตามธรรมชาติหรือเพศสรีระแต่อย่างใด บทความเรื่องนี้จึงเป็นความพยายามที่สนับสนุนให้ทุกคนมองเรื่อง เพศ (การแสดงพฤติกรรม อารมณ์ และอัตลักษณ์) แบบเปิดใจกว้าง โดยทำความเข้าใจจากแนวคิดทฤษฎีต่างๆเพื่อที่จะทำให้เห็นว่า ความหลากหลายทางเพศ เป็นเรื่อง ปกติ ที่ทำให้มนุษย์สามารถแสดงอารมณ์ความปรารถนาต่างๆได้ตามที่เขาคิดว่ามีคุณค่าสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ฐานความคิดเรื่อง ความหลากหลาย ทางเพศ วิกฤตความรู้ที่เกิดจากทัศนะแบบสมัยใหม่ (Modernist Perspective) ซึ่งอธิบายเพศของมนุษย์ในแนวพัฒนาการหรือกระบวนการที่เป็นระนาบเส้นตรง และเชื่อในความมีอยู่จริงตามธรรมชาติ หรือมี แก่นแท้ ของความเป็นเพศทางชีววิทยา วิกฤตดังกล่าวนี้ถูกท้าทายด้วยความคิดแบบพหุลักษณ์ (Pluralism) ซึ่งพยายามอุดช่องว่างที่วิทยาศาสตร์เคยทิ้งไว้ โดยเฉพาะเรื่องความซับซ้อนของประสบการณ์ชีวิตทางเพศของมนุษย์ (William Simon, 2003:28) การท้าทายด้วยความคิดแบบพหุลักษณ์อาศัยวิธีการรื้อถอนสิ่งที่คิดว่าเป็นจริงแบบธรรมชาติ (Denaturalization) เพื่อค้นหาว่าความหมายของ เพศสรีระ พฤติกรรม อารมณ์และการแสดงออกทางเพศเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นหรือเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรม และถูกแสดงออกโดยประสบการณ์ชีวิตของบุคคล เป้าหมายของการรื้อถอนนี้คือการวิพากษ์วิธีการจัดประเภท (Categorization) หรือการจำแนก เพศ (ทั้งเพศสรีระและพฤติกรรม)ของมนุษย์ให้อยู่เป็นพวกๆ หรือเป็นหมู่เป็นเหล่า เพราะการจัดจำแนกทำให้ประสบการณ์ชีวิตทางเพศของมนุษย์กลายเป็นสิ่งเหมารวม เมื่อเรายิ่งเชื่อในการจัดพวกหรือจัดประเภทมากเท่าใดเราก็จะยิ่งคิดว่าเรื่องเพศจะต้องมีหมวดหมู่ที่ชัดเจน แต่หมวดหมู่เหล่านั้นวางอยู่บนฐานคติเรื่อง เพศสภาพ ที่แบ่งเป็นสองด้านคือ ผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งฐานคตินี้มาจากกระบวนทัศน์วิทยาศาสตร์ที่มองว่า เพศ เป็นเรื่องของการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติที่จะมีเพศชายและเพศหญิงเท่านั้นสำหรับการอธิบายความจริงต่างๆ ด้วยเหตุนี้ การรื้อถอนวิธีการจัดจำแนกเพศจึงเป็นการรื้อถอนกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างทฤษฎีเพศด้วยการมองเชิง หน้าที่นิยม (Functionalism) ที่ผิวเผินเกินไป (Simon, 2003:30) แต่เดิม วิทยาศาสตร์อธิบายชีวิตทางเพศของมนุษย์ในฐานะเป็นการแสดงออกทางความต้องการทางเพศเท่านั้น แต่ทัศนะแบบพหุลักษณ์ เช่น แนวคิดแบบเควียร์ มองว่าชีวิตทางเพศ หรืออารมณ์ทางเพศของมนุษย์มิใช่เพียงแรงขับตามธรรมชาติหรือเป็นสัญตญาณตามธรรมชาติ แต่เป็นการทำให้การแสดงอารมณ์ความปรารถนากลายเป็นเรื่องทางเพศ (sexualized representation of desire) (Simon, 2003:28) การแสดงความรู้สึกนี้เปิดโอกาสให้บุคคลสร้างและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ทางเพศของตัวเอง และการแสดงออกดังกล่าวก็มีความซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้ ซึ่งส่งผลให้เรื่องราวชีวิตทางเพศของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่คงที่ วิลเลียม ไซม่อน(2003) กล่าวว่าถึงแม้ข้อเท็จจริงในชีวิตของมนุษย์จะยังเหมือนเดิมแต่การให้ความหมายต่อข้อเท็จจริงนั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพราะบุคคลสามารถต่อเติมเสริมแต่งจินตนาการทางเพศจากความทรงจำของตัวเอง การแสดงความรู้สึกโดยใช้เพศเป็นสื่อจึงมีความหมายที่เปิดกว้าง ศักยภาพดังกล่าวนี้ ถูกมองข้ามไปในการศึกษาของวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าคำอธิบายเกี่ยวกับความเป็นสากลในเรื่องเพศมีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าบุคคลสามารถให้ความหมายต่อความทรงจำทางเพศของตัวเองที่มีผลต่อการแสดงความรู้สึกที่มีเพศเป็นสื่อ ฉะนั้น ความจริงเกี่ยวกับเพศก็ย่อมจะถูกสร้างแตกต่างกันออกไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน ข้อสังเกตประการหนึ่งคือ ชีวิตทางสังคมที่เกี่ยวกับเรื่องเพศมิได้มีอยู่ได้ด้วยตัวของมันเองตามที่วิทยาศาสตร์เคยบอก เช่น บอกว่าประสบการณ์ทางเพศในวัยเด็กจะส่งผลต่อพฤติกรรมทางเพศในตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ในทางกลับกัน ชีวิตทางสังคมในเรื่องเพศของมนุษย์กลับเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง มิใช่สิ่งที่มีอยู่แล้ว เพราะประสบการณ์ในวัยเด็กจะถูกให้ความหมายไปตามช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ต่างกันซึ่งไม่ได้เป็น ตัวบ่งชี้ ให้เกิดพฤติกรรมทางเพศอย่างใดอย่างหนึ่งแต่อย่างใด ข้อเถียงดังกล่าวนี้มีฐานคิดที่เชื่อว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากสังคม (Simon, 2003:29) นอกจากนั้น ความคิดแบบพหุลักษณ์ยังเชื่อว่าระเบียบทางสังคมที่บุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องมีความไม่คงที่ เพราะบุคคลสามารถไกล่เกลี่ยและให้ความหมายกับสิ่งต่างๆรอบตัวได้ สังคม ในความคิดแบบพหุลักษณ์จึงเต็มไปด้วยการต่อรองทางประสบการณ์ ซึ่งคนแต่ละคนจะใช้ความรู้เรื่องเพศในแบบของตัวเอง ความคิดพหุลักษณ์ ยังชี้ให้เห็นว่ากรอบความคิดที่ยึดมั่นใน เพศสภาพ (Gender) ทำให้เกิดการแยกพรมแดนทางสังคมระหว่างชายและหญิง รวมทั้งทำให้เกิดการสร้างช่วงชั้นสูงต่ำเชิงคุณค่าให้กับความเป็นชายและหญิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้สังคมทุนนิยมและสังคมที่ให้อำนาจผู้ชาย (Gillian A. Dunne, 2003:65) ความคิดพหุลักษณ์จึงทำลายความเชื่อมั่นของระบบรักต่างเพศ โดยมีนักวิชาการสายสตรีนิยมรุ่นที่สามและนักวิชาการแนวเควียร์เป็นผู้นำร่องและเปิดฉากการวิพากษ์กระบวนทัศน์วิทยาศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในระบบรักต่างเพศ (Stevi Jackson, 2003:69) ความคิดแบบพหุลักษณ์จะไม่อธิบายความเป็น ระบบ ของเพศ แต่จะสร้างความหลากหลายให้กับประสบการณ์ อัตลักษณ์ และพฤติกรรมทางเพศซึ่งบุคคลจะใช้ความเป็น รักต่างเพศ (Heterosexuality) เป็นพื้นที่สำหรับต่อรองและไกล่เกลี่ย กล่าวคือ ความเป็นรักต่างเพศไม่ได้มีอยู่ในระดับสถาบันสังคมเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีอยู่ในปฏิบัติการในชีวิตประจำวัน ทุกๆคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับรักต่างเพศในแง่มุมต่างๆ ทั้งที่เป็นการคล้อยตามและการขัดขืน ข้อถกเถียงในเรื่องดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลความคิดมาจากจูดิธ บัตเลอร์ ซึ่งอธิบายให้เห็นว่าเพศสภาพเป็นเรื่องของ การแสดง (Gender as a Performance) อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ถึงแม้บัตเลอร์จะชี้ให้เห็นว่าการแสดงออกทางเพศมีความหลากหลาย แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการอธิบายให้เห็นถึงความหลากหลายทางเพศ (ทั้งพฤติกรรม อารมณ์ การปฏิบัติ และอัตลักษณ์ทางเพศ) มาจากฐานความคิดที่ต้องการทำให้สังคมดำรงอยู่ร่วมกันได้ หรือทำให้ทุกคนเคารพในความแตกต่างหลากหลาย นักวิชาการบางคนชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ความคิดเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ เป็นเรื่องที่ทำให้กลุ่มคนชายขอบทางเพศ เช่น กลุ่มคนรักเพศเดียวกันหรือกลุ่มคนข้ามเพศ ได้รับการปลดปล่อยหรือได้รับการยอมรับจากสังคม ความคิดเรื่อง ความหลากหลายทางเพศ ก็ยังมีการจัดระเบียบและจัดประเภทของการแสดงอารมณ์ /พฤติกรรม /อัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์ (Jackson, 2003: 81) ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายใต้กระบวนทัศน์แบบวิทยาศาสตร์ ในประเด็นนี้จะอธิบายในหัวข้อต่อไป ... | | | |
| | |
|
 |